คลังเก็บ

vivo X300 เปิดตัวพร้อมชิป Dimensity 9500, กล้องหลัก 200MP และแบตเตอรี่ 6,040mAh

vivo เปิดตัวสมาร์ตโฟนเรือธงซีรีส์ใหม่ล่าสุด Vivo X300 และ X300 Pro อย่างเป็นทางการในประเทศจีน สร้างเสียงฮือฮาด้วยสเปคที่จัดเต็มที่สุดรุ่นหนึ่งของปี ไม่เพียงแค่ยกระดับการถ่ายภาพบนมือถือไปอีกขั้น แต่ยังมาพร้อมฟีเจอร์เด็ดที่สามารถเชื่อมต่อข้าม ecosystem กับอุปกรณ์ของ Apple ได้อย่างน่าทึ่ง

ขุมพลังและประสิทธิภาพ

ทั้ง vivo X300 และ X300 Pro ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตตัวแรง MediaTek Dimensity 9500 ทำงานร่วมกับชิปประมวลผลภาพ V3+ ที่ vivo พัฒนาขึ้นเอง มาพร้อมระบบปฏิบัติการ OriginOS 6 (บนพื้นฐาน Android 16) ที่เน้นประสิทธิภาพ, การถ่ายภาพ และการทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นอย่างเต็มรูปแบบ

สเปคกล้องจัดเต็ม สมชื่อเรือธง

vivo X300 จัดเต็มเรื่องกล้องด้วยชุดเลนส์ที่พัฒนาร่วมกับ Zeiss ประกอบด้วย:

  • กล้องหลัก Zeiss Super Main Camera: ความละเอียด 200MP (เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HPB ขนาด 1/1.4 นิ้ว) พร้อมโค้ตติ้ง T* ช่วยลดแสงสะท้อน
  • กล้อง Ultra-Wide: ความละเอียด 50MP (เซ็นเซอร์ ISOCELL JN1 ขนาด 1/2.76 นิ้ว)
  • กล้อง Telephoto Zeiss APO: ความละเอียด 50MP (เซ็นเซอร์ Sony LYT-602 ขนาด 1/1.95 นิ้ว) รองรับการซูม Optical 3 เท่า
  • กล้องหน้า: ความละเอียด 50MP พร้อม Autofocus และการปรับสีแบบ Zeiss Natural Color

นอกจากนี้ ชิป V3+ ยังช่วยให้สามารถถ่ายวิดีโอโหมดบุคคล (Portrait Video) ที่ความละเอียด 4K 60FPS, มีระบบติดตามการเคลื่อนไหว (motion tracking) และโหมดถ่ายภาพบุคคลแบบ “Zero-Additive” รวมถึงการถ่าย Live Photo แบบต่อเนื่อง

หน้าจอ, ดีไซน์ และแบตเตอรี่

ตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอ BOE Q10 Plus LTPO AMOLED ขนาด 6.31 นิ้ว ที่มีขอบจอบางเฉียบเพียง 1.05 มม. และได้รับการรับรองถนอมสายตาจาก TÜV แม้ตัวเครื่องจะบางเพียง 7.95 มม. และหนัก 190 กรัม แต่ให้ แบตเตอรี่ Blue Ocean มาจุใจถึง 6,040mAh

สเปคอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ RAM แบบ LPDDR5X, ROM UFS 4.0 (สูงสุด 1TB), พอร์ต USB 3.2 และระบบระบายความร้อนที่ปรับปรุงใหม่เพื่อรองรับการใช้งาน AI หนักๆ หรือเล่นเกมโดยเฉพาะ

ไฮไลท์เด็ด: “Cross-Device Ecosystem” เชื่อมต่อกับ iPhone และอุปกรณ์ Apple ได้

จุดที่น่าสนใจที่สุดคือฟีเจอร์ “Cross-Device Ecosystem” ใหม่ของ vivo ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Apple ได้อย่างราบรื่น เช่น:

  • ซิงค์การโทร, SMS, การแจ้งเตือน และแชร์ตำแหน่งกับ iPhone
  • เข้าถึงปฏิทินและไฟล์จาก iPad
  • ใช้งานคลิปบอร์ดและฉายภาพหน้าจอร่วมกับ Mac
  • ซิงค์ข้อมูลสุขภาพจาก Apple Watch
  • รองรับการแสดงผลแบตเตอรี่และติดตามตำแหน่งของ AirPods

อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ในปัจจุบันยังต้องการ Apple ID ที่ลงทะเบียนในประเทศจีน

ราคาและวันวางจำหน่าย

vivo X300 เปิดราคาในประเทศจีนดังนี้:

  • รุ่น 12GB + 256GB: ราคา 4,399 หยวน (ประมาณ 20,100 บาท)
  • รุ่น 16GB + 256GB: ราคา 4,699 หยวน (ประมาณ 21,470 บาท)
  • รุ่น 12GB + 512GB: ราคา 5,299 หยวน (ประมาณ 24,200 บาท)
  • รุ่น 16GB + 1TB: ราคา 5,799 หยวน (ประมาณ 26,500 บาท)

เริ่มวางจำหน่ายในจีนวันที่ 17 ตุลาคมนี้ มีให้เลือก 4 สีคือ Black, Blue, Pink และ Purple ส่วนกำหนดการเปิดตัวทั่วโลก (Global Launch) คาดว่าจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน 2025 ซึ่งต้องรอติดตามการประกาศสำหรับประเทศไทยอีกครั้ง

สรุปสเปกเด่น vivo X300

  • ชิปเซ็ต (CPU): MediaTek Dimensity 9500
  • ชิปประมวลผลภาพ: vivo V3+
  • หน้าจอ:
    • ขนาด 6.31 นิ้ว
    • ชนิด: LTPO AMOLED (BOE Q10 Plus)
    • ความละเอียด: 1.5K
    • ขอบจอบางพิเศษ 1.05 มม.
    • ได้รับการรับรองถนอมสายตาจาก TÜV
  • กล้องหลัง 3 ตัว (พัฒนาร่วมกับ ZEISS):
    • กล้องหลัก (Zeiss Super Main Camera): 200MP, เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HPB (ขนาด 1/1.4 นิ้ว), พร้อมโค้ตติ้ง T*
    • กล้องอัลตร้าไวด์: 50MP, เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL JN1 (ขนาด 1/2.76 นิ้ว)
    • กล้องเทเลโฟโต้ (Zeiss APO): 50MP, เซ็นเซอร์ Sony LYT-602 (ขนาด 1/1.95 นิ้ว), รองรับ Optical Zoom 3 เท่า
  • กล้องหน้า: 50MP, พร้อม Autofocus และปรับสี Zeiss Natural Color
  • หน่วยความจำ:
    • RAM: 12GB / 16GB (LPDDR5X)
    • ROM: 256GB / 512GB / 1TB (UFS 4.0)
  • แบตเตอรี่:
    • ความจุ: 6,040 mAh (Blue Ocean Battery)
    • ยังไม่มีข้อมูลยืนยันเรื่องความเร็วในการชาร์จ แต่คาดว่าจะรองรับชาร์จไว
  • ระบบปฏิบัติการ: OriginOS 6 (บนพื้นฐาน Android 16)
  • การเชื่อมต่อ:
    • USB Type-C 3.2
    • คาดว่ารองรับ Wi-Fi และ Bluetooth เวอร์ชั่นล่าสุด
  • ตัวเครื่อง:
    • ความหนา: 7.95 มม.
    • น้ำหนัก: 190 กรัม
  • คุณสมบัติอื่นๆ:
    • ระบบระบายความร้อนที่ปรับปรุงใหม่
    • ฟีเจอร์ “Cross-Device Ecosystem” ที่สามารถเชื่อมต่อและซิงค์ข้อมูลกับอุปกรณ์ Apple เช่น iPhone, iPad, Mac และ Apple Watch (ปัจจุบันยังจำกัดการใช้งานในจีน)

ที่มา : Gizmochina