คลังเก็บ

ไปรษณีย์ไทย เผยผลประกอบการ 9 เดือน โตกว่า 7% ดันธุรกิจใหม่ ขับเคลื่อน ศก.ระหว่างประเทศ พร้อมใช้ ‘Sustainnovation’ เสริมแกร่ง

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดรายได้ 9 เดือนปี 2568 (ม.ค. – ก.ย.) มีรายได้รวม 16,860.73 ล้านบาท เติบโต 7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  โดยกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตสูงสุดคือขนส่งและโลจิสติกส์ คิดเป็น 47.39% จากรายได้รวม สะท้อนความแข็งแกร่งของระบบงานไปรษณีย์และความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการ

โดยไปรษณีย์ไทยยังคงมุ่งเป็นกลไกสำคัญในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านบริการขนส่งทั้งในและระหว่างประเทศ การอำนวยความสะดวกไลฟ์สไตล์ผู้คนและภาคธุรกิจ พร้อมมุ่งพัฒนาศักยภาพทรัพยากรองค์กร ทั้งบุคลากร คุณภาพการนำจ่าย รวมถึง Sustainovation (นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน) เพื่อกระจายการเติบโตอย่างยั่งยืนไปยังทุกภาคส่วนของไทย

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง
9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.- ก.ย.) ไปรษณีย์ไทยทำรายได้รวม 16,860.73 ล้านบาท

โดยธุรกิจที่มีสัดส่วนรายได้มากที่สุดมาจากกลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ที่สร้างรายได้กว่า 7,990.28
ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการเติบโตโดดเด่นสูงถึง 47.39% ของรายได้ทั้งหมด ขยายตัว 8.42%
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในหลายอุตสาหกรรม เช่น
ค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ สินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์

สำหรับปี 2568 นี้ ถือเป็นปีที่ไปรษณีย์ไทยเริ่มเห็นผลลัพธ์จากการต่อยอดด้านเครือข่าย เทคโนโลยี คุณภาพบริการ และบุคลากร ส่งผลให้ปริมาณงานหลายหมวดมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับบริการข้ามประเทศที่เริ่มปรับตัวเข้าสู่โครงสร้างที่มีคุณภาพมากขึ้น

อีกทั้งไปรษณีย์ไทยยังคงให้บริการเพื่อสังคม (PSO) อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ ม.ค. – ก.ย. 2568 คิดเป็น 466.93 ล้านบาท และจากผลสำรวจความเชื่อมั่นในแบรนด์ไปรษณีย์ไทย ปี 2568 มีคะแนนเพิ่มสูงถึง 97.92%

“จากตัวเลขความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นจาก 91.87% ของปี 2567 เป็น 97.92% ในปี 2568 และคะแนนความไว้วางใจแบรนด์ไปรษณีย์ไทย ได้ 98.26% สูงขึ้นจากปี 2567 ที่ได้ 96.11% แสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้บริการสัมผัสถึงประสบการณ์จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง ทั้งในด้านความเร็ว ความแม่นยำ คุณภาพบริการ

ซึ่งไปรษณีย์ไทยได้ลงทุนและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในระบบงาน เทคโนโลยี และบุคลากร เพื่อสร้างมาตรฐานคุณภาพบริการที่เท่าเทียมกันทั่วประเทศ พร้อมทั้งการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ไปรษณีย์ไทยสู่การเป็น
ไลฟ์สไตล์แบรนด์ ที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทย และผลลัพธ์คะแนนความเชื่อมั่นและ
ความไว้วางใจที่พุ่งสูงขึ้นในวันนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าไปรษณีย์ไทยกำลังก้าวสู่ทิศทางการเติบโตที่มั่นคง”

ดร.ดนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากกลุ่มบริการขนส่งที่เป็นรายได้หลักแล้ว การให้บริการ
ในด้านอื่น ๆ เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้คน รวมถึงการอำนวยความสะดวกการดำเนินธุรกิจก็มีการเติบโต
อย่างมีนัยสำคัญด้วยเช่นเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็น Travel Lite ที่เป็นบริการขนส่งสัมภาระ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยวซึ่งทำรายได้เติบโตจากปี 2567 มากถึง 551% สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในด้านศักยภาพขนส่งและเครือข่าย รวมถึงเป็นกลไกที่สะท้อนว่าบริการนี้จะช่วยส่งเสริมมิติด้านการท่องเที่ยวให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น

ขณะที่บริการค้าปลีกและการเงิน ทำรายได้เติบโตขึ้นจากเดิม 14.33% ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของฐานลูกค้าในพื้นที่ต่าง ๆ  และความสามารถของไปรษณีย์ไทยในการผสานบริการออฟไลน์–ออนไลน์ให้สะดวกขึ้นจนกลายเป็นช่องทางซื้อขายที่ผู้บริโภคเชื่อถือได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องมีการขยายแพลตฟอร์มชำระเงินและบริการตัวแทนทางการเงินให้ครอบคลุมและทันสมัยมากขึ้น

ทั้งระบบ e-Payment การชำระ COD ผ่านปลายทาง ไปจนถึงการพัฒนาการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มชำระเงินระดับสากล ทำให้ไปรษณีย์ไทยทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังมุ่งเป็นกลไกสำคัญในบริการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งบริการเชิงกลยุทธ์ของไปรษณีย์ไทย โดยตั้งแต่ปี 2567–2568 ปริมาณงานในภาพรวมยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการไทยที่สามารถใช้เครือข่ายไปรษณีย์ไทยในการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะบริการ EMS ที่ทำรายได้สูงสุดคิดเป็น 33.99% ของรายได้บริการส่งต่างประเทศทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อช่วยยกระดับระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศท่ามกลางภาวะการส่งออกที่ยังคงผันผวน

ในปี 2569 ไปรษณีย์ไทยจึงยังคงมุ่งเสริมมาตรฐานบริการข้ามแดนให้เทียบเท่าสากล ขยายความร่วมมือ
โลจิสติกส์กับปลายทางสำคัญทั่วโลก เพื่อให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SME และผู้ค้าออนไลน์ สามารถเข้าถึงตลาดใหม่ได้ง่ายขึ้นและมีต้นทุนที่แข่งขันได้จริง ให้บริการขนส่งสินค้าเข้าคลัง Amazon FBA (Fulfillment by Amazon) สำหรับผู้ขายสินค้าบนเว็บไซต์ Amazon.com

โดยไปรษณีย์ไทยจะทำหน้าที่เป็นผู้รับรวบรวมสินค้าจากผู้ขายสินค้าของ Amazon พร้อมขนส่งสินค้าจากประเทศไทย ดำเนินพิธีการศุลกากรและนำส่งสินค้าเข้าคลัง Amazon FBA ของสหรัฐอเมริกา เพื่อกระจายสินค้าไปสู่ตลาด 

ตลอดจนใช้เครือข่ายที่ครอบคลุมกว่า 205 ปลายทางในการส่งออกสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ SME และสินค้านวัตกรรม พร้อมให้บริการแบบ End-to-End ตั้งแต่ให้คำปรึกษาการส่งออก จัดทำเอกสารศุลกากร การจัดเก็บและแพ็กกิ้งตามมาตรฐานสากล ไปจนถึงการเลือกบริการขนส่งที่เหมาะสม เช่น EMS World, ePacket พร้อมบริการหลังการขายเพื่อสร้างความมั่นใจตลอดเส้นทาง

ดร.ดนันท์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในช่วงปลายปีนี้และในปี 2569 Sustainnovation เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญขององค์กร ที่จะนำความยั่งยืนมาสู่การเติบโตในระยะยาว โดยเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมเข้ามาพัฒนาโครงสร้างธุรกิจอย่างรอบด้าน ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานบริการ การออกแบบระบบ
หลังบ้าน และการสร้างพอร์ตธุรกิจใหม่ที่ตอบรับเศรษฐกิจดิจิทัล

โดยโมเดลนี้ยังสะท้อนทิศทางขององค์กรยุคใหม่ทั่วโลกที่ไมได้มุ่งสร้างการเติบโต เพียงด้านรายได้ แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน ธุรกิจ และระบบขนส่งของประเทศให้ทันกับพฤติกรรมยุคดิจิทัล ทั้งยังเป็นก้าวสำคัญในการวางตำแหน่งไปรษณีย์ไทยสู่การเป็น Tech Post อย่างเต็มรูปแบบ โดยวางโซลูชันหลักเพื่อตอบรับกับยุทธศาสตร์นี้คือ

  • การขับเคลื่อนองค์กรด้วย AI โดยปัจจุบันมีการศึกษาและทดลองการนำ AI มาใช้ทั้งการวางแผนเส้นทางนำจ่ายที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดข้อผิดพลาด ลดเวลาในการทำงาน และประหยัดพลังงานที่ใช้
    ในการนำจ่าย การบริหารจัดการคลังสินค้าที่จะมีการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการของลูกค้า
    เพื่อจัดการสต็อกสินค้าในคลังได้อย่างแม่นยำ การพัฒนา Chatbot และระบบตอบรับอัจฉริยะเพื่อให้บริการข้อมูลและแก้ไขปัญหาเบื้องต้นแก่ผู้ใช้บริการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งพัฒนา Super App ที่รวบรวมบริการขนส่ง การเงิน และอีคอมเมิร์ซไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อให้แก่ผู้ใช้บริการ
  • การเร่งพัฒนาบริการ D/ID เพื่อกระตุ้นโครงสร้างพื้นฐานด้านความเชื่อมั่นและความเป็นส่วนตัวโดย
    ที่ยังคงความสะดวกในการรับ-ส่งพัสดุ  รวมถึงเป็นรหัสกลางที่จะทำให้การทำงานร่วมกันของหน่วยงานรัฐ
    อีคอมเมิร์ซ และเอกชนเชื่อมโยงกันได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมแพลตฟอร์ม การชำระเงิน COD การคืนพัสดุ หรือการตรวจสอบสถานะ และทำให้ไปรษณีย์ไทยรองรับงานต่อวันได้เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุน
  • ยกระดับบริการ Prompt Post โดยพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Digital Postbox บริการ
    ตู้ไปรษณีย์ดิจิทัลส่วนบุคคล Passport Tracking บริการติดตามสถานะหนังสือเดินทาง Prompt Pass ระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมออนไลน์ และ Prompt Voteระบบการลงคะแนนเสียงออนไลน์รูปแบบใหม่ที่ไช้งานง่าย ปลอดภัย และมีระบบบันทึกผลที่น่าเชื่อถือ
  • การเพิ่มประสิทธิภาพของ Postman Cloud ที่เอื้อต่อทั้งภาคเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจ ผ่านการขยายกำลังคนในแต่ละพื้นที่ เช่น กลุ่มบุคลากรวัยเกษียณที่ยังคงมีความเชี่ยวชาญและความสัมพันธ์ที่ดี
    กับคนในพื้นที่ เพื่อรองรับดีมานด์การเก็บข้อมูลและสำรวจทรัพย์ การเชื่อมโยงความต้องการของธุรกิจและลูกค้า รวมถึงการพัฒนาระบบไอที เอไอ ซอฟต์แวร์เพื่อนำมาวิเคราะห์และประมวลผลจากการจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ชุดข้อมูลมีประสิทธิภาพและเกิดการนำไปใช้ในวงกว้าง

ติดตามข่าวสารไปรษณีย์ไทยเพิ่มเติมได้ที่

เว็บไซต์ : www.thailandpost.co.th

เฟซบุ๊ก : บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด

X : @Thailand_Post

ไลน์ออฟฟิเชียล : @Thailand Post

ติ๊กต็อก : @thailandpostchannel