ดีแทค ประกาศรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายมีอัตราเติบโต 0.2% ในปี 2560 ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโทรคมนาคมสื่อสารไร้สาย รายได้จากบริการระบบจ่ายรายเดือนเติบโตแซงหน้ารายได้จากบริการระบบเติมเงิน เนื่องจากลูกค้าระบบเติมเงินได้ทยอยย้ายเข้าสู่ระบบรายเดือนอย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากนี้ ความต้องการและอัตราการใช้งานบริการข้อมูลยังเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง EBITDA margin ของปี 2560 เพิ่มขึ้น 5% เป็น 38.9% ส่วนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1.4% ทั้งนี้ ดีแทคประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นจำนวน 0.24 บาทต่อหุ้น ซึ่งรอการอนุมัติจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560
ณ สิ้นปี 2560 ดีแทคมีฐานลูกค้าอยู่ที่ 22.7 ล้านราย โดย 98% ลงทะเบียนอยู่ภายใต้บริษัทดีแทค ไตรเน็ต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือดีแทค และถือใบอนุญาตใช้คลื่น2100 MHz จาก กสทช. จำนวนผู้ใช้บริการ 4G เพิ่มขึ้นเป็น 7.2 ล้านราย ส่วนอัตราการใช้งานอุปกรณ์โทรศัพท์ที่รองรับเทคโนโลยี 4G เพิ่มขึ้นเป็น 51%
ดีแทคยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในการขยายโครงข่าย โดยเพิ่มจำนวนสถานีฐานภายใต้ระบบใบอนุญาตขึ้น 32% ในปี 2560 ครอบคลุม 94% ของจำนวนประชากรทั้งหมด นอกจากนี้ ดีแทคกำลังรอการอนุมัติเพื่อเปิดให้บริการไร้สายความเร็วสูงบนคลื่นความถี่ 2300 MHz ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อเพิ่มจำนวนแบนด์วิดท์สำหรับบริการ 4G
รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายในปี 2560 อยู่ที่ 64,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% จากปีก่อน อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากบริการข้อมูล ส่วน EBITDA อยู่ที่ 30,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของรายได้จากการให้บริการ
ในขณะที่ค่าธรรมเนียมและส่วนแบ่งรายได้ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ลดลง แต่ก็มีผลกระทบเล็กน้อยจากค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากการขยายโครงข่ายภายใต้ระบบใบอนุญาต
แม้ว่าค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในปี 2560 แต่กำไรสุทธิก็ยังเพิ่มขึ้นเป็น 2,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตอันแข็งแกร่งของEBITDA และผลประโยชน์ทางด้านภาษีจากการตัดค่าเสื่อมราคาพิเศษของเงินลงทุนในปี 2560
นอกจากนี้ กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน (คำนวณจากEBITDA หักด้วยเงินลงทุน) ก็ขยายตัวเกือบเท่าตัวจากปีก่อนเป็น 13,900 ล้านบาทในปี 2560
อุตสาหกรรมโทรคมนาคมไร้สายของไทยยังคงขยายตัวและมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูง ดีแทคยังคงมุ่งมั่นในการเสริมสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้และก้าวขึ้นเป็นดิจิทัลแบรนด์อันดับ 1 ของประเทศภายในปี 2563 เราจะปรับเปลี่ยนการดำเนินงานของเราให้เข้าสู่รูปแบบดิจิทัล
ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น พร้อมกับช่วยลดค่าใช้จ่ายลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับการให้บริการผ่านหน้าร้านแบบเดิม เราคาดหวังว่าลูกค้าจะเพิ่มการยอมรับในรูปแบบและช่องทางการให้บริการดิจิทัลของเรามากยิ่งขึ้น
สำหรับปี 2561 ดีแทคคาดการณ์ว่ารายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย และ EBITDA (ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงการให้บริการ 2300 MHz ที่มีกับทางทีโอที) จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนในปี 2561 จะอยู่ที่ระดับ 15,000 -18,000 ล้านบาท
นายลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของดีแทค กล่าวว่า “ผลประกอบการของเราในปี 2560 ค่อนข้างใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของเรา ซึ่งมองว่า EBITDA มีโอกาสเติบโตสูง โดยปี 2561 จะเป็นปีที่สำคัญมากสำหรับดีแทค เนื่องจากสัญญาสัมปทานคลื่นความถี่จะสิ้นสุดลง
โดยเรามุ่งมั่นที่จะจัดหาคลื่นความถี่เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มศักยภาพของโครงข่ายในการให้บริการดิจิทัลที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ดีแทคได้มีส่วนร่วมสำคัญในการร่วมปรึกษาหารือและให้คำแนะนำแก่ กสทช. และภาครัฐในการจัดการประมูลคลื่นความถี่จากสัญญาสัมปทานที่หมดลง ในขณะเดียวกัน เราจะลงทุนในโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของบริการข้อมูล และสร้างคุณค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้า พร้อมทั้งมุ่งเดินหน้าเพื่อก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจดิจิทัลของประเทศไทย”